วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ปัญหาสีลอกล่อน

อีกหนึ่งปัญหายอดนิยมของสีทาบ้านซึ่งปัญหานี้มองด้วยตาจะเห็นชัดกว่าปัญหาก่อนๆที่กล่าวมาเพราะค่อนข้างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะเมื่อสีมีการลอกออกมาให้เห็นผนังปูนด้านหลัง โดยปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยได้แก่ 1. การเตรียมพื้นที่ผิวไม่ดี เช่นมีฝุ่นผง หรือ คราบไขมัน หรือ รอยสีทาบ้านเดิมที่อยู่ที่ผนัง ทำให้การยึดเกาะของสีบริเวณนั้นไม่ดี    2.ใช้สีที่มีการยึดเกาะไม่ดี สาเหตุนี้อาจมีทั้งการใช้สีคุณภาพต่ำ, ไม่ได้ทาสีรองพื้น, การใช้สีไม่ถูกวิธีเช่น ไม่ได้รอให้สีรองพื้นแห้งดีพอก็ทาสีทับหน้าลงไปหรือการเจือจางสีทาบ้านมากเกินไป   3.ความชื้นของผนัง  สาเหตุนี้เกิดจากผนังคายความชื้นออกมาจากสาเหตุต่างๆเช่นปูนยังแห้งไม่ดีตอนทาสีทาบ้าน หรือ ผนังที่มีส่วนที่สัมผัสกับดินทำให้ได้รับความชื้นมาจากดิน  เมื่อมีการคายความชื้นออกมาจากผนังและไม่สามารถระบายออกจากชั้นสีที่หุ้มผนังอยู่ได้ ความชื้นนั้นจะไปแทรกระหว่างสีรองพื้นกับผนังทำให้เกิดการแยกชั้นกันของผนังกับชั้นสีรองพื้นซึ่งนำไปสู่ปัญหาสีลอกล่อน

 วิธีแก้ปัญหาสีลอกล่อนมีขั้นตอนดังนี้
1.ขูดลอกสีที่พองล่อนออกให้หมด
2.ขัดล้างทำความสะอาดบริเวณสีลอกล่อนออกให้หมดด้วยแปรงพลาสติก หรือใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (Water Jet) ที่มีแรงดัน 150 – 200 บาร์ แล้วทิ้งให้แห้งสนิท
3.ถ้ามีรอยแตกร้าว ให้ซ่อมแซมรอยแตกร้าวตามวิธีแก้ปัญหารอยแตกร้าวที่เคยนำเสนอไป
4.ถ้าเป็นปัญหาสีลอกล่อนชายล่างซึ่งเป็นปัญหาที่ผนังบริเวณติดกับพื้นดินซึ่งได้รับความชื้นอย่างสม่ำเสมอทำให้ผนังปูนชุ่มน้ำและมักคายความชื้นออกมา  ให้ทากันความชื้นเช่น TOA Moisture guard บริเวณชายล่าง 1 เที่ยวแล้วทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง  เพื่อให้ TOA Moisture guard เป็นตัวกันไม่ให้ผนังปูนคายความชื้นออกมา
5.ทาสีที่เหมาะสมกับผนังปูน

TOA Moisture Guard

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

สีเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผง

ปัญหานี้มักเกิดกับผนังบ้านที่ได้ทาสีมาได้หลายปี โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมเช่นแสงแดด, ฝน, ลมแรง  จะมีปัญหานี้มาก  การสังเกตว่าสีมีการเสื่อมหรือไม่ให้เอามือลูบผนังดูถ้าสีเสื่อมสภาพแล้วจะมีฝุ่นสีติดที่มือ  ปัญหานี้ในแง่ความสวยงามอาจไม่เป็นปัญหามากเพราะสีจะดูแค่ซีดลง แต่จะเป็นปัญหาด้านสุขภาพโดยเฉพาะเวลาเกิดปัญหานี้ภายในบ้านเพราะฝุ่นสีจะปลิวออกมาในอากาศทำให้ปนเปื้อนในอากาศ, น้ำดื่ม และ อาหาร ทำให้ผู้อยู่อาศัยรับสารเคมีในสีทาอาคารตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านทำให้สารเคมีสะสมในร่างกายจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้  สาเหตุที่สีเป็นฝุ่นเกิดจากฟิล์มสีเสื่อมสภาพทำให้ไม่สามารถยึดเกาะกันเป็นแผ่นได้

                วิธีแก้ปัญหาเมื่อสีทาบ้านเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผงมีขั้นตอนดังนี้
1.  ขัดล้างทำความสะอาดด้วยแปรงพลาสติก หรือใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (Water Jet) ที่มีแรงดัน 150 200 บาร์ แล้วทิ้งให้แห้งสนิท
2.  ทาสีที่เหมาะสมกับผนังปูน  เพราะถ้าทิ้งผนังปูนเปลือยไว้ก็สามารถมีฝุ่นออกจากผนังปูนเช่นกัน แต่ถ้าทาสีไว้และสีไม่ได้เสื่อมสภาพจะช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นหลุดออกมาจากผนังได้

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

คราบเชื้อราและตะไคร่น้ำ

วันนี้จะมาพูดถึงปัญหาที่สองของปัญหาสีที่พบบ่อย คือ คราบเชื้อราและตะไคร่น้ำ  ซึ่งปัญหานี้มักเกิดขึ้นช่วงหน้าฝนหรือหลังจากช่วงหน้าฝนไม่นาน  ถ้าจะให้อธิบายถึงปัญหานี้ว่าลักษณะเป็นอย่างไร  ก็ให้สังเกตตามผนังที่ได้รับความชื้นบ่อยๆเช่นด้านที่โดนฝน, ผนังที่อยู่ติดกับต้นไม่ที่มีการรดน้ำประจำ เรามักจะพบรอยดำๆดูคล้ายๆรอยน้ำไหลร่วมกับปัญหาอื่นๆเช่นสีลอกร่อน   ซึ่งรอยดำบนผนังนั้นก็คือคราบเชื้อรานั้นเอง  สาเหตุส่วนใหญ่ของเชื้อราที่ผนังคือ  1. ผนังปูนมีความชื้น  อาจเกิดจากไม่ได้ทิ้งปูนให้แห้งสนิทแล้วทาสีทับ หรือ ผนังปูนมีด้านที่เปลือยที่สัมผัสความชื้นบ่อยทำให้ผนังปูนมีความชื้น  2. ฟิล์มสีที่ทาผนังไม่ทนเชื้อราเพราะสีTOA มีผสมสารป้องกันเชื้อราลงในสีทาบ้านคุณภาพปานกลางขึ้นไป ดังนั้นถ้าใช้สีเกรดไม่สูงพออาจจะพบปัญหานี้มาก

การแก้ปัญหาคราบเชื้อราและตะไคร่น้ำขึ้นผนังมีขั้นตอนดังนี้
  1. ขัดล้างทำความสะอาดคราบเชื้อราและตะไคร่น้ำออกด้วยแปรงพลาสติก หรือถ้าไม่ต้องการออกแรงมากก็สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราทาบริเวณที่มีเชื้อราแล้วทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงแล้วทิ้งผนังให้แห้งสนิทประมาณ 5 - 7 วันเพื่อตรวงสอบคราบฝังลึกถ้ายังมีคราบให้ทำความสะอาดตามขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง
  2. ทาหรือกลิ้งน้ำยา TOA 113 Microkill บริเวณผนังที่เกิดคราบเชื้อราและตะไคร่น้ำ แล้วทิ้งให้แห้งเพื่อฆ่ารากเชื้อราที่ฝังอยู่ที่พื้นผิว
  3. ทาสีที่เหมาะสมกับผนังปูน เพื่อไม่ให้เห็นรอยการขัดคราบเชื้อรา และปกป้องไม่ให้เชื้อราขึ้นอีกครั้ง



TOA 113 Microkill

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ปัญหารอยแตกลายงา

  ปัญหานี้คิดว่ามีกันหลายบ้านซึ่งสาเหตุหลักคือมีรอยแตกร้าวที่ปูนแล้วสีที่เราใช้ทาผนังมีคุณสมบัติยืดหยุ่นไม่พอที่จะปิดรอยเหล่านี้ (ซึ่งสีระดับสูงส่วนใหญ่เช่น 7 in 1 มักจะมีความยืดหยุ่นพอปิดรอยที่ไม่ใหญ่มากได้) หรือ สีที่ผนังเสื่อมสภาพตามกาลเวลาทำให้ความยืดหยุ่นน้อยลง ส่วนสาเหตุที่ผนังมีรอยแตกร้าวส่วนใหญ่มี 2 สาเหตุคือ 1.โครงสร้างและผนังมีการเคลื่อนตัว เช่นมีขยายตัวที่ไม่เท่ากันของวัสดุที่อยู่ใกล้กันเช่นวงกบกัยผนังปูนในสภาพที่มีอากาศร้อนทำให้เกิดรอยแตกขึ้น  2.การฉาบไม่ได้คุณภาพ เช่นผสมน้ำลงในปูนน้อยเกินไปเวลาปูนแห้งจะเกิดรอยร้าวที่ผนังเกิดขึ้น
   ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทรอยแตกได้เป็น 2 แบบคือ
1. แบบอันตราย ส่วนมากจะมีความกว้างเกิน 0.5 มม. เป็นเส้นทำมุม 45 องศา ส่วนใหญ่เกิดจากโครงสร้างบ้านเช่นมีการทรุดตัวของเสาหรือคาน ควรเรียกช่างมาซ่อมโดยด่วน
2.แบบไม่อันตราย เป็นรอยแตกที่ไม่เป็นระเบียบ เกิดจากการยืดหดของผนังและวัสดุต่างๆ

ส่วนการแก้ปัญหารอยแตกร้าวนี้ เราขอแนะนำให้แก้ตามขั้นตอนดังนี้
  1. ขัดล้างสีเดิมที่บริเวณรอยแตกออกให้หมดเพื่อที่เราจะอุดรอยแตกข้างหลังสีได้ แต่ห้ามใช้แปรงลวดในการขัดล้างสี
  2. ล้างทำความสะอาดบริเวณที่เราขัดล้างสี และทิ้งให้แห้ง 2-3 วัน เพื่อลดความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของราที่ผนัง
  3. กรณีรอยแตกร้าวขนาดเล็ก (น้อยกว่า 2 ม.ม.) เราแนะนำให้อุดรอยแตกด้วย TOA Acrylic Filler โดยป้ายทับบริเวณรอยแตก
  4. กรณีรอยแตกขนาดใหญ่ ( 2- 10 ม.ม.) แนะนำให้ใช้ TOA Acrylic Sealant อุดรอยแตก โดยอาจแซะขยายรอยแตกเป็นตัว V เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการยึดจับของ TOA Acrylic Sealant ให้แน่นขึ้น และอาจเอาโฟมหรือวัสดุอื่นๆมารองไว้ที่ฐานของรอยแตกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของรอยแตก และ ประหยัด TOA Acrylic Sealant
  5. หลังอุดรอยแตกดีแล้ว และแห้งสนิทดี ขัดตกแต่งบริเวณที่อุดเพื่อให้ผิวผนังกับสีโป้วเรียบเสมอกัน โดยขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ละเอียด
  6. ทาสีผนังเพื่อปิดรอยโป้วด้วยสีที่เหมาะสมกับผนังปูน


TOA Acrylic Filler


TOA Acrylic Sealant





ปัญหาสีที่พบบ่อย

เพื่อนๆที่มีบ้านที่ทาสีบางส่วนน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับสีทาบ้านอยู่  วันนี้ทางสมารท์เพนท์จะยกตัวอย่างปัญหาเรื่องสีทาบ้านที่พบบ่อยรวมไปถึงวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยปัญหาสีที่ทางเราจะพูดถึงมี
  1. มีรอยแตกร้าวปรากฎที่สี
  2. คราบเชื้อราและตะไคร่น้ำ
  3. สีทาบ้านกลายเป็นฝุ่น
  4. สีโป่งพองและลอกล่อน